มีคนเป็น โรคเบาหวาน มากถึงร้อยละ 8 มีช่วงอายุอยู่ระหว่าง 20 – 80 ปี และจริงๆแล้วทุกคนก็จะรู้กันเป็นอย่างดีว่าโรคเบาหวานเป็นภาวะของน้ำตาลในเลือดสูงแต่ยังไม่มีความเข้าใจว่าควรจะปฎิบัติตัวอย่างไร หากพบว่าตัวเองเป็นโรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน เกิดจากที่ตับอ่อนผลิตอินซูลินได้ไม่พอกับการทำงานของร่างกาย โดยน้ำตาลจะถูกลำเลียงไปในกระแสเลือดด้วยฮอร์โมนอินซูลินไปยังเซลล์เนื้อเยื่อที่สำคัญต่างๆของร่างกาย แต่หากอินซูลินไม่มีประสิทธิภาพมากพอหรือมีน้อยเกินไป จะส่งผลให้เกิดมีระดับน้ำตาลตกค้างในกระแสเลือด นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน และยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆคือ
- บุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป
- คนอ้วน หรือบุคคลที่มีน้ำหนักเกินกว่ามาตรฐาน
- บุคคลที่มีประวัติพบโรคเบาหวานในสมาชิกครอบครัว
- บุคคลที่มีภาวะของโรคความดันโลหิตสูง
- บุคคลที่มีระดับไขมันในเลือดสูง
- บุคคลที่มีภาวะเกี่ยวกับโรคหัวใจกับหลอดเลือด

การเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับน้ำตาลมี 4 วิธีด้วยกัน
- การเจาะวัดระดับน้ำตาลหลังจากงดอาหารและเครื่องดื่มมาแล้ว 8 ชั่วโมง(FPG) กรณีนี้ถ้าระดับน้ำตาลมากกว่า 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แสดงว่าเป็นโรคเบาหวาน
- การเจาะวัดระดับน้ำตาลในเลือดสะสม(HbA1c) เป็นการตรวจโดยไม่ต้องอดอาหาร แต่จะนำปัจจัยอื่นมาร่วมวินิจฉัยด้วย เช่น โรคเลือดต่างๆ และอายุ หากค่าตรวจที่ได้มากกว่า 6.5% หมายถึงว่าเป็นโรคเบาหวาน
- การเจาะวัดระดับน้ำตาลในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง(RPG) หากค่าตรวจมากกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แสดงว่าเป็นโรคเบาหวาน
- การเจาะวัดด้วยวิธีทดสอบความทนต่อน้ำตาลกลูโคส(Oral Glucose Tolerance Test : OGTT) จะทำการเจาะเข็มแรกหลังจากมีการอดอาหารและเครื่องดื่มมาแล้ว 8 ชั่วโมง และแข็มที่สองเมื่อดื่มกลูโคสไปแล้ว 2 ชั่วโมง หากค่าที่ได้มากกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แสดงว่าความทนต่อน้ำตาลกลูโคสมีความบกพร่อง

โรคเบาหวานนั้นเกิดจากการมีน้ำตาลในเลือดสูง ดังนั้นสิ่งที่ทุกๆคนจะต้องปฎิบัติคือการดูแลตัวเอง ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนักให้ได้
ติดตามข่าวสุขภาพและติดตาม“อกไก่” กินลดน้ำหนัก สร้างกล้ามเนื้อ เพื่อสุขภาพดี ไม่มีเจ็บไข้